เมืองแห่งสายหมอกที่ต้องบอกว่ามีแต่หมอกทั้งวันจริงๆ กับที่นี่ “บ้านอีต่อง ปิล็อก” นั่นเองครับ
📍 ผมไม่รู้ว่าช่วงที่ผมไปจะถือว่าโชคดีหรือโชคร้าย เพราะว่าผมไม่เจอแสงอาทิตย์เลย ทำให้ไม่สามารถเก็บวิวเมืองโดยรวมตอนพระอาทิตย์ตกดินที่เป็นจุดพีคมาฝากเพื่อนๆได้ แต่ผมกับรู้สึกว่าผมคุ้มค่ามากที่ผมได้สัมผัสไอหมอกพร้อมสูดอากาศแบบเต็มๆ ผมได้เดินฝ่ากลางสายหมอกที่เย็นพร้อมกับลมพัดแรงที่มาคู่กันจนทำให้แทบจะมองทางข้างหน้าไม่เห็นเลยครับ

📍 เอาหล่ะเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ทริปนี้ผมวางไว้ที่ 2วัน 1คืนครับ ผมได้เซิร์ทหาที่พักจากแหล่งต่างๆ ส่วนมากนั้นจะแนะนำที่พักโซนริมน้ำ แต่ผมเองกลับชอบที่พักริมเขา จะอยู่โซนถนนคนเดิน ให้ความรู้สึกว่าเป็นธรรมชาติและเหมาะกับการมาพักผ่อนมากกว่า แต่จริงๆแล้วไม่ว่าจะที่พักโซนไหน ก็สามารถเดินมาหากันได้เลยครับ เพราะระยะทางใกล้กันมากจริงๆ
🏠 ที่พักจะเป็นหลังๆ หลังหนึ่งมีสองชั้น ชั้นล่างราคา 800฿ (ไม่มีระเบียง) ชั้นบนราคา 900฿ (มีระเบียง) ราคานี้เป็นราคาช่วงวันธรรมดา และรวมอาหารเช้าแล้วนะครับ เพิ่มเติมคือมี WiFi ให้ด้วย
🥘 ส่วนร้านอาหารของที่นี่มีหลายร้านเลยครับ ใครที่มาไม่ต้องกลัวว่าจะหาของกินลำบากเลย และร้านดังๆของที่นี่ก็จะเป็นร้านครัวเจ๊ณี อร่อยจริงสมคำร่ำลือครับ ราคาก็กลางๆไม่แพงมาก และนอกจากนั้นก็ยังมีอีกหลายร้านอยู่ใกล้ๆกันหาไม่ยากครับ แต่ร้านค้าที่นี่จะปิดไวหน่อย ช่วงประมาณ 3-4 ทุ่มก็เริ่มปิดแล้ว ใครที่ต้องการตุนเสบียงแนะนำให้รีบซื้อไว้ก่อนเลยครับ
📸 สถานที่ท่องเที่ยวสำหรับทริปที่ผมไปก็จะมีตามนี้เลย วันแรกผมเริ่มเดินทางช่วงเช้ามืด เพื่อให้ไปถึงข้างบนช่วงเวลาประมาณ 10-11โมง เมื่อไปถึงก็เดินสำรวจเส้นทางสักพัก และเข้าเช็คอินเก็บของเข้าที่พัก หลังจากนั้นออกมาคุยกับพี่ข้างๆที่พักเขามีบริการรถพาเที่ยว โดยใช้เป็นรถ 4wd เพราะว่าช่วงนี้ฝนตกๆหยุดทั้งวันทำให้เส้นทางรถธรรมดาไม่น่าจะไปรอดครับ ค่าเสียหายตรงนี้อยู่ที่คนละ 50฿ จะพาไป 3 สถานที่คือ 1. เนินช้างศึก 2. เนินเสาธงชายแดน 3. ช่องมิตรภาพ ส่วนถ้าเหมาก็จะมีอีกสองที่คือ น้ำตกจ๊อกกระดิ่น และ เหมืองสมศักดิ์ จะราคาประมาณ 800฿ บอกเลยครับว่าให้พี่ที่ชำนาญเส้นทางพาเที่ยวดีแล้ว ทางถือว่าแย่พอสมควร และพี่คนขับน่ารักครับ ให้คำแนะนำดีและไม่เร่งเวลาเราเลย โทรสอบถามได้ที่ 089-5161541 (พี่วัฒน์)
📌 เมื่อเที่ยวกันครบหมดแล้ว ก็กลับมาหาอะไรทานรองท้องกันสักหน่อยครับ โดยแวะทานง่ายๆที่ร้านครัวเจ๊ณีเลย สั่งเมนูง่ายๆราดข้าวกันคนละจานจนอิ่มอร่อยเสร็จแล้วก็ได้เวลากลับที่พัก อาบน้ำพักร่างกายสักพักแล้วออกมาเดินเล่นหาอะไรทานช่วงกลางคืนกันครับ พอถึงช่วงหัวค่ำตามเวลานัดหมายเราก็มาเลือกทานหมูกะทะกัน หมูกะทะจะอยู่ร้านเยื้องๆกับร้านครัวเจ๊ณีเลย ให้เยอะอิ่มอร่อยแน่นท้องเตรียมตัวนอนได้เลยครับ และวันต่อมาก็ตื่นกันแต่เช้ามาจิบกาแฟพร้อมไปกับสายหมอกริมระเบียงหน้าที่พักเลย บอกเลยว่าฟินของฟินที่สุดแล้วครับตรงนี้ และสายหน่อยท้องเริ่มร้องเราก็ลงมาข้างล่างที่พักของเราก็จะมีบัตรสำหรับทานอาหารเช้าที่ร้านครัวเจ๊ณี โดยมีเมนูให้เลือก 3อย่าง ข้าวต้มหมู ข้าวต้มกุ้ง และไข่กระทะ อร่อยถูกปากทุกอย่างจริงๆครับร้านนี้ เสร็จแล้วก็แวะถ่ายรูปเล่นริมสะพานสักพักแล้วก็กลับมาเตรียมตัวเก็บกระเป๋าออกเดินทางกลับกัน อีกหนึ่งกิจกรรมที่ห้ามลืมทำถ้ามาถึงที่นี่เลยก็คือเขียนชื่อบนแผ่นไม้แล้วผูกไว้กับเสาบนสะพานครับ เราเองก็ได้ทำเรียบร้อยแล้วก่อนจะกลับ ระหว่างทางกลับผมก็ได้แวะไปที่ น้ำตกจ๊อกกระดิ่น สักหน่อยเพราะไหนๆก็มากันแล้ว ถือว่าคุ้มมากครับ น้ำตกสวยมาก น้ำเย็นเจี๊ยบ แต่อยู่ได้สักแปปผมก็แยกย้ายออกมาครับ กลัวจะถึงปลายทางมืดเกินไป


























🚗 มาสรุปการเดินทางกันหน่อยดีกว่า การเดินทางสามารถไปได้ทั้งรถส่วนตัวและรถประจำทาง ผมเองได้เลือกนำรถส่วนตัวไป โดยมีคำแนะนำมี่อยากฝากเพื่อนๆเอาไว้คือ ควรเติมน้ำมันให้เต็มก่อนเริ่มขึ้นโค้ง 399โค้ง โดยจะมีปั้ม ปตท. พร้อมเซเว่นสุดท้ายอยู่ช่วงทองผาภูมิ เพราะเลยจากนั้นจะไม่มีปั้มแล้วครับ ถ้ามีก็มีแต่ปั้มหลอดที่หายากมากๆ และแนะนำอย่าขึ้นช่วงกลางคืน เพราะถนนบางช่วงเป็นหลุมใหญ่ กับเป็นโค้งหักศอก และบางครั้งอาจจะมีเศษหินหรือเศษกิ่งไม้จากต้นไม้ข้างทางหล่นทับรถได้ครับ และควรคำนึงถึงรถที่จะสวนมาด้วยทุกครั้งครับ สำหรับใครที่ไม่มีรถส่วนตัวทางช่วงทองภาภูมิเองจะมีท่ารถสำหรับวิ่งขึ้นไปถึงอีต่องอยู่ เป็นรถคันสีเหลือง ราคาประมาณ 70฿/คน เรื่องเวลารถออกผมไม่แน่ใจเพื่อนๆสามารถหาข้อมูลได้เลยครับ
📌 บรรยายมาเยอะมาก ไม่รู้ว่าจะใครบ้างที่อ่านจนจบเหมือนกัน แต่ยังไงก็อยากให้ลองไปเที่ยวดูสักครั้งในชีวิต แล้วคุณจะติดใจ “บ้านอีต่อง ปิล็อก” เหมือนกับผมแน่นอน ❤️